Lesson 40

สิงหาคม 25, 2011

outside teaching : บทเรียนนอกตำรา / โดย…โรงน้ำชา (13/8/2554)
Lesson 40 : ปัจฉิมบท…

     อีกหนึ่งบทเรียนจากท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆแสนงาม…
     อีกหลายบทเรียนจากการเดินทางไปญี่ปุ่น 3 ครั้ง…
     อีกหลายบทเรียนจากการควบรถกระบะเกียร์กระปุกบุโรทั่ง
ไต่ลงหุบตะกายตะกุยลุยเขาเข้าป่าต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร กับพ่อและแม่…
     และอีกหลายบทเรียนที่สมทบถมทับจากทุกลมหายใจที่ถูกใช้
ในแต่ละวัน…
     นี่คือเรื่องราว “บทเรียนนอกตำรา” อีกหลายหลักสูตร
ที่สั่งสอนผม แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาแบ่งปัน
     …และคงไม่มีวันได้รับการบอกเล่า!
     …
     เป็นความตั้งใจมาช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผมคิดว่าจะจบ
หลักสูตรของบทเรียนนอกตำราไว้ที่บทที่ 40 แล้วหาแนวทาง
ใหม่ๆ คอนเซ็ปต์ใหม่ๆ มาขีดๆ เขียนๆ ต่อไป
     ซึ่งจะเป็นอะไรยังไงนั้น…ณ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยครับ!
     แต่รู้ว่า แม้จะเดินทางมาสู่ “ปัจฉิมบท” หรือบทสุดท้าย
ของ outside teaching
     บทที่ 40 บทนี้ยังเป็นสิ่งที่สอนผมให้เรียนรู้อะไรบางอย่าง…
     …
    ย้อนกลับไปตั้งแต่เคาะนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดคลอดบทเรียนบทแรก
นิยามความเป็น outside teaching หรือ “บทเรียนนอกตำรา” ที่ผม
คิดไว้คือการหยิบจับสิ่งเล็กๆ ที่เกิดขึ้นหรือพบเห็นอยู่รอบตัว
ซึ่งสามารถ “สะกิด” ให้เราได้ฟุ้งเพ้อละเมอคิดและได้เรียนรู้
อะไรบางอย่างจากสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นมาเล่าสู่กันอ่าน
     บทเรียนจากเรื่องเล็กๆ อาจสะท้อนสะเทือนถึงสัจธรรม
แง่คิด มุมมองในการใช้ชีวิต รวมถึงทัศนคติที่บางครั้งเราอาจหลงเลือน
     “บทเรียนนอกตำรา” ที่ผ่านมาทั้ง 39 บท อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง
ที่ช่วยย้ำเตือนว่า…
     บางที ชีวิตก็ต้องดิ้นพราดสู้ขาดใจแบบ “ไส้เดือน”
     ต้องแยกแยะว่าเวลาไหนควรกินข้าวและเวลาไหนควรกิน “ขนม”
     หนทางสู่ความสุขก็เหมือนการดื่ม “Wine” มันทำได้หลายวิธี
     ในบางสถานการณ์ เช่น “โลกร้อน” การลงมือทำน่าจะเสียงดังกว่า
เปิดปากพูด
     อย่างน้อย “สีสเปรย์ที่ถูกพ่นอยู่บนกำแพง” ก็ทำให้เรารู้ว่า
เด็กพวกนี้รักและภักดีต่อศักดิ์ศรีแห่งสถาบันตัวเองอย่างแรงกล้า
แค่ขยายจากสถาบันตัวเองให้เป็น “สถาบันชาติ” เราคนไทยจะรักกัน
และรักชาติมากขึ้น
     การรอ การรีบ ทำให้ “เวลา” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
     “คนป่วย” มักหนาวกาย แต่ทุเลาได้ถ้าใจอุ่น “Tom & Jerry” ช่วย
เตือนย้ำว่าแม้ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย แต่สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า
“รักกัน”
     ประสบการณ์ใหม่ที่มีค่าอาจได้มาจากช่วงเวลาที่คิดว่าบัดซบ
ฉิบหายอย่างการ “หลงเกาหลี”
     ถ้าไม่เคยผจญความลำบาก คงยากที่จะปลื้มปลาบซาบซึ้ง
กับความสบายแม้เพียงเล็กน้อยเหมือนตอนอยู่บน “Road to Siem Reap”
     พลานุภาพแห่งศรัทธาสามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งสิ่งยิ่งใหญ่อย่าง “นครวัด”
และบันดาลเรื่องเลวร้ายอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
     เราเลือกได้ว่าจะเอาตัวรอดด้วยสันดานระยำหรือเอาตัวรอดด้วยวิธี
ที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม เหมือน “เด็กวัดที่อยู่บนปราสาท”
     ต้องพยายามให้คุณวุฒิเติบโตตามวัยวุฒิ อย่างเจ้าของรางวัล
“ออสการ์ ครั้งที่ 81” และหลายๆ ครั้ง
     เรื่องบางเรื่องต้องลองมองในมุมของคนอื่นบ้าง อาจทำให้เราเข้าใจ
เหตุผลที่ขับเคลื่อนการกระทำของใครบางคน อย่างเช่น “Delivery กับ Taxi”
     แม้แตกต่างกัน แต่ทุกคน ทุกอย่าง มีคุณค่าบางอย่างในตัวเองเสมอ
ไม่ว่าจะเป็น “ละครน้ำเน่า” หรือหนังอินดี้ติสต์เซอร์
     ไม่บาปที่จะขับ “Honda C70” แบบค่อยๆ ไป ไม่ผิดที่ใช้ชีวิตตามใจ
ไม่แปลกที่ไม่ทำตามใคร ตราบใดที่ไม่เบียดเบียนให้ใครต้องเป็นทุกข์ร้อนใจ
     ไร้ลมหายใจแต่ไม่ไร้คุณค่า ถ้าทิ้งสิ่งดีๆ ไว้ให้เป็นที่จดจำ
เหมือน Michael Jackson “King of Pop”
     อย่ายึดติดอยู่เพียงกับรูปลักษณ์หรือสัญลักษณ์ที่ฉาบเคลือบ
เข้าถึงแกนและวิญญาณของสิ่งที่เราชื่นชมให้เข้าใจ
ความเท่สไตล์ “ลูกผู้ชายหน้าเข้ม เคราดำผมยาวประบ่า” อาจมีความหมาย
มากกว่าที่เห็น
     ทำทุกอย่างในทุกวินาทีให้เต็มที่และดีที่สุด สิ่งที่ยิ่งใหญ่อาจเกิดขึ้นได้
ในเสี้ยววินาที เหมือนภาพถ่าย “Guerrillero Heroico”
     ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดี เหมือนอย่างที่เห็นจาก
“เวียตนาม Halong Bay ถ้ำ และ…ลูลู่”
     ความสุขที่โหยหา อาจอวลมาจากที่ที่ไม่คิดว่าจะเจอ อย่างค่ำคืน
แห่งการดื่มด่ำ “Bia Hoi”
     บนทางเดินแห่งชีวิตต้องรู้จักชะลอช้าบ้าง ถ้าไม่อยากเจ็บตัวหรือพัง
เพราะ “หลังเต่า”
     ในช่วงเวลาแห่งความประทับใจ กอบโกยทุกความรู้สึกให้เต็มใจ
ก่อนบันทึกภาพลงเป็นไฟล์ เหมือนการเดินทางของ
“กล้อง Digital จากปันนาบุรีถึงเชียงคาน”
     เจอคนที่ชอบ พบคนที่ใช่ แต่ยังลังเลเลือกมากไม่ตัดสินใจ
อาจพลาดอดเหมือนสิ่งที่เกิดใน “สูญอาหาร”
     คุณค่าของคนอยู่ที่ “ตัวตน” ใช่ “ลุค” หรือ “ภาพ” ที่สร้างฉาบขึ้นมา
เป็นอัตลักษณ์ เช่นเดียวกับ “นั่งร้านไม้ไผ่ในฮ่องกง”
     เราอาจอิจฉาคนเป็น “ไกด์” ทั้งที่จริงๆ ไม่มีงานไหนง่ายหรือสบาย
ถ้าต้องเหนื่อย เหนื่อยกับการทำงานที่สบายใจน่าจะดีกว่า
     ใช้ชีวิตให้เหมือน “Cable Car” ระลึกรู้ว่าเมื่อไหร่ควรช้า
เมื่อไหร่ควรเร็ว เมื่อไหร่ควรขึ้น เมื่อไหร่ต้องลง
     ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ จริงใจ จริงจัง แม้ผลลัพธ์อาจ
ไม่ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับใคร แต่ยังไงก็ต้องมีคนซาบซึ้งในคุณค่า
ของความตั้งใจ เหมือนที่ผมเห็นจาก “Alex หรือ อาเล็ก?”
     เรื่องยากๆ บางทีเกิดจากคำพูดที่ “มักง่าย” อาจเป็นเหตุผล
ที่เราไม่ค่อยเห็น “คนใบ้” ทะเลาะกัน
     อย่าตัดสินใครหรืออะไรเพียงเพราะสิ่งที่เห็นภายนอก ดูการกระทำ
วัดที่ความตั้งใจ เหมือนอย่างที่ผมได้เห็นจาก
“พิซซ่า ซูชิ และซีอิ๊ว (ปันนาบุรี ครั้งที่ 2)” มาแล้ว
     เรื่องเล็กๆ ทุกอย่างที่แม่ทำให้…ดูยิ่งใหญ่เสมอในความรู้สึกของลูก
เหมือนสิ่งที่ผมได้เห็น “แม่…ค้า…” ทำ
     อย่ากลัวหรือกังวลมากไปกับเรื่องร้ายๆ ที่ยังไม่เกิด มันอาจทำให้เรา
พลาดโอกาสดีๆ เหมือนที่นั่งริมน้ำที่ “เกาะเสม็ด”
     ตราบใดที่เรายังหายใจ…ชีวิตเติม “ไฟ” ได้ตลอดเวลา ต่างจากโคมลอย
ที่ผมเห็นนอนสงบนิ่งตรง “หน้าตึกเก่า / ข้างถนน / จากบนรถเมล์”
     ในห้วงภวังค์บรรยากาศแห่งความ “เหงา” อาจทำให้เรานิ่งเห็น
ความ “งาม” ดั่งเช่นในยาม “ดอนเดดอัสดง”
     บางช่วงชีวิตที่ต้องจรผจญไปบนเส้นทางร้อนแล้งแร้นแค้น
น้ำฉ่ำใสเพียงหนึ่งหยดยังสามารถพยุงชีวิตให้เดินต่อได้ แม้จะไม่มี “รถจักรเช่า”
     โลกมีธรรมชาติเป็น “ผู้ปกครอง” มนุษย์เป็นเพียง “ผู้อาศัย” หากยัง
หลงระเริงดื้อด้านเอาเปรียบข่มเหงแบบไม่เกรงใจ ผู้ปกครองคงเตรียม
จัดบทลงโทษชุดใหญ่ให้ผู้อาศัยได้สำนึก เห็นได้จาก
“คอนพะเพ็ง-หลี่ผี-สะพานไม้ไผ่-สึนามิ”
     ความสุขที่เราถวิลหาอาจไม่ได้ต้องการการคว้าไขว่ แต่อยู่ที่ใจสัมผัส
ความสุขได้หรือยัง เหมือนที่ผมเคยสัมผัสใน
“คืนนับถอยหลังและสองร้านริมโขง (บทสุดท้ายแห่งลาวใต้)”
     ต้องรู้จักแบ่งปันความสุขเพื่อแบ่งเบาความทุกข์ให้คนอื่นบ้าง แม้ไม่มากมาย
แต่อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ความทุกข์ “บางส่วน” ของเค้าหายไป อย่างที่ได้รู้จาก
“ข้างถนน”
     บางทีก็ควรทำตาม “มารยาท” แต่บางครั้งก็ต้องปล่อยไหลตาม
“วิจารณญาณ” เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นบน “โต๊ะอาหาร”
     แม้ในสิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี ยังมีมุมดีๆ ให้เห็น อยู่ที่จะมองด้านไหน
และชั่งน้ำหนักในการตอบสนองอย่างไร ไม่ต่างจาก “เรื่องเหล้า”
     …
     …
     และบทเรียนนอกตำราบทที่ 40 อันเป็น “ปัจฉิมบท” บทนี้แม้จะเป็นการ
“เขียน” บทสุดท้าย…
     แต่ผมยังมีอีกหนึ่งบทเรียนจากท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆแสนงาม…
     อีกหลายบทเรียนจากการเดินทางไปญี่ปุ่น 3 ครั้ง…
     อีกหลายบทเรียนจากการควบรถกระบะเกียร์กระปุกบุโรทั่ง
ไต่ลงหุบตะกายตะกุยลุยเขาเข้าป่าต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร กับพ่อและแม่…
     และอีกหลายบทเรียนที่สมทบถมทับจากทุกลมหายใจที่ถูกใช้
ในแต่ละวัน…
     ทั้งหมดนี้สอนให้ผมคิดนึกระลึกอยู่เสมอว่า…
     ในโลกที่กว้างใหญ่และอากาศแปรปรวนฉิบหาย ยังมี “บทเรียน”
ทรงคุณค่าอีกหลายหลากมากมายให้ “เรียนรู้”
     อยู่ที่เราจะมองเห็นและเปิดใจให้สิ่งรอบกายกระซิบสอน
หรือเปล่า…เท่านั้นเอง…